ครูอิ่ม จันทร์ชุม ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บรมครูแกะหนังตะลุงของภาคใต้” เป็นผู้เห็นคุณค่าของศิลปะพื้นบ้านด้านการแกะหนังตะลุง อันเป็นศิลปะเก่าแก่ซึ่งนับวันจะถูกลดคุณค่าและหมดความนิยมในที่สุด ครูอิ่มได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้สาธิตการแกะหนังตะลุงถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวมทั้งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้แกะหนังตะลุงฝีมือเยี่ยม นอกจากผลงานจะเป็นที่ยอมรับในประเทศไทยแล้วก็ยังเป็นที่สนใจและต้องการของชาวต่างประเทศ ดังจะเห็นได้จากมีการติดต่อให้ครูอิ่มไปสอนการแกะสลักรูปหนังตะลุง และกนกลายไทยโดยจะให้ค่าตอบแทนเป็นมูลค่าหลายล้านบาท แต่ครูอิ่มเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาด้านการแกะหนังตะลุงที่บรรพบุรุษได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ครูอิ่มจึงต้องการจะสืบทอดมรดกอันล้ำค่านี้ไว้ให้แก่คนไทยสืบไป

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ครูภูมิปัญญาไทย ด้านศิลปกรรม

             ครูอิ่ม ได้แกะหนังตะลุงให้กับนายหนังตะลุงหลายท่านและนำรูปหนังตะลุงไปจำหน่ายในที่ต่างๆ ทำให้ชื่อเสียงของครูอิ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ประกอบกับงานฝีมือของครูอิ่ม เป็นงานฝีมือประณีต เป็นศิลปะชั้นครู จึงมีผู้นิยมสั่งรูปหนังตะลุงมากมาย รวมทั้งได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้สาธิตการแกะหนังตะลุงถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวมทั้งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้แกะหนังตะลุงฝีมือเยี่ยม เป็นบรมครูแกะหนังตะลุงของภาคใต้ นอกจากผลงานจะเป็นที่ยอมรับในประเทศไทยแล้วก็ยังเป็นที่สนใจและต้องการของชาวต่างประเทศ ดังจะเห็นได้จากมีการติดต่อให้ครูอิ่มไปสอนการแกะสลักรูปหนังตะลุง และกนกลายไทยโดยจะให้ค่าตอบแทนเป็นมูลค่าหลายล้านบาท แต่ครูอิ่มเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาด้านการแกะหนังตะลุงที่บรรพบุรุษได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ครูอิ่มจึงต้องการจะสืบทอดมรดกอันล้ำค่านี้ไว้ให้แก่คนไทยสืบไป
จากการที่ได้ฝึกฝนหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองจนเกิดความชำนาญ และได้พัฒนาการแกะสลักเป็นขั้นตอนนับตั้งแต่การวาดรูปตัวหนังตะลุง การใส่ลายกนกไทย การปั้นรูปคน รูปสัตว์ด้วยดินเหนียว และการแกะสลักไม้เป็นรูปต่างๆ ครูอิ่มได้ทดลองแกะรูปหนังตะลุงออกจำหน่ายได้รับความนิยมมาก และได้รับยกย่องจากผู้คนทั่วไป เมื่อทำงานมาได้เป็นระยะเวลาอันยาวนาน ครูอิ่มได้พบความจริงที่ว่า ศิลปะพื้นบ้านด้านการแกะหนังตะลุงอันเป็นศิลปะที่เก่าแก่นี้กำลังจะสูญหายไป ปัจจุบันเยาวชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเภทนี้เห็นคุณค่าน้อยมาก ครูอิ่มจึงคิดว่าการทำอาชีพแกะหนังตะลุงอย่างเดียวไม่พอ ควรจะได้มีการสืบสานงานศิลปกรรมด้านนี้ให้คงอยู่ด้วย วิธีการหนึ่งก็คือต้องมีการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ต้องเพิ่มคุณค่าและมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้รับความนิยม ดังนั้นครูอิ่มจึงได้ปรับรูปแบบหนังตะลุงให้มีประโยชน์ใช้สอยเพิ่มเติม ให้สามารถประดับตกแต่งตามสถานที่ต่างๆ ได้ นอกเหนือจากการนำหนังตะลุงมาใช้แสดงเพียงประการเดียว ได้จัดให้มีการรวมตัวของสมาชิก จัดเป็นกลุ่มอาสาสาธิตผลิตภัณฑ์การแกะหนังตะลุงเพื่อสืบทอดภูมิปัญญาการแกะหนัง และถ่ายทอดความรู้ให้แก่บุตร ศิษย์ เยาวชน และผู้สนใจทั่วไป โดยเนื้อหาที่ถ่ายทอดจะได้แก่ประวัติและความเป็นมาของหนังตะลุง ชื่อของตัวหนัง และคุณค่าของหนังตะลุงที่จำเป็นต้องอนุรักษ์ไว้
            ครูอิ่ม จันทร์ชุม นอกจากจะมีความสามารถในการแกะหนังตะลุงแล้ว ยังมีความสามารถในการรำโนรา การพากย์หนังตะลุง การปั้น การเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง มีผลงานจิตรกรรมไว้ที่ฝาผนังโบสถ์ วัดท่าลาด อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง และที่วัดแจ้ง อำเภอ ระโนด จังหวัดสงขลา อีกด้วย

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สอนการแกะหนังตะลุง




ท่านใดต้องการเรียนการแกะหนังตะลุงกับครูอิ่ม เชิญติดต่อสอบถามมาได้นะครับ เรียนฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายครับ

ปริญญากิตติมศักดิ์

รับพระราชทานปริญญากิตติมศักดิ์ เมื่อวันที่16 มีนาคม 2551 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา

ครูภูมิปัญญาไทย


สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติได้ประกาศยกย่องเชิดชูให้เป็นครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่๒

ครูอิ่ม จันทร์ชุม

ภูมิปัญญาด้าน ศิลปกรรม (การแกะหนังตะลุง) จังหวัดพัทลุง
  • การเรียนรู้
              นายอิ่ม จันทร์ชุม มีบิดาคือนายคลิ้ง จันทร์ชุม อาชีพนายหนังตะลุงที่มีชื่อเสียง ได้รับแรงกระตุ้นและแรงบันดาลใจจากบิดาให้สนใจศึกษา เกิดความรักและต้องการสืบทอดมรดกในการแสดงนี้จากบิดา ต่อมาบิดาได้ฝากไว้ในอุปการะของนายปลอด ชูศรี ผู้เป็นลุงซึ่งเป็นผู้แกะรูปหนังตะลุงชื่อดังของภาคใต้ จึงทำให้นายอิ่มมีความรู้ความสามารถมากยิ่งขึ้น
  • การค้นคว้า/ค้นพบ
              นายอิ่มเริ่มศึกษาวิชาแกะรูปหนังตะลุงตั้งแต่อายุ 12 ปี ในระยะแรกได้รับการฝึกแกะรูปหนังตะลุงจากบิดาและลุงคือนายปลอด ต่อมาฝึกฝนหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองจนเกิดความชำนาญ พัฒนาการแกะสลักของตนเองเป็นขั้นตอนตั้งแต่การวาดรูปตัวหนังตะลุง ใส่ลายกนกไทย ฝึกปั้นรูปคน รูปสัตว์ด้วยดินเหนียว และแกะสลักไม้เป็นรูปต่างๆ ได้ทดลองแกะรูปหนังตะลุงออกจำหน่ายได้รับความนิยมมาก และได้รับยกย่องว่าเป็นผู้แกะรูปหนังตะลุงฝีมือเยี่ยมของภาคใต้
  • การทดลองจนประสบความสำเร็จ
              ศิลปะพื้นบ้านด้านการแกะหนังตะลุงเป็นศิลปะที่เก่าแก่ได้รับการสืบทอดกันมา นับวันจะสูญหายไป เยาวชนปัจจุบันและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมประเภทนี้เห็นคุณค่าในเรื่องนี้น้อย นายอิ่มจึงคิดว่าการทำอาชีพแกะหนังตะลุงอย่างเดียวไม่พอควรจะได้มีการสืบสานงานศิลปกรรมด้านนี้ให้คงอยู่ด้วย จึงได้พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด เพิ่มคุณค่าและมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์โดยปรับรูปแบบให้มีประโยชน์ใช้สอยสามารถประดับตกแต่งตามสถานที่ต่างๆ ได้นอกเหนือจากการนำมาใช้แสดงเพียงประการเดียว ผลงานการแปรรูปผลิตภัณฑ์เป็นที่ยอมรับ และมีการรวมตัวของสมาชิกจัดเป็นกลุ่มอาสาสาธิตผลิตภัณฑ์การแกะหนังตะลุงทำให้สามารถสืบทอดภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าไว้ได้
  • การสอน/การถ่ายทอด
              เป็นเวลามากกว่า 20 ปี ที่นายอิ่มได้ช่วยเหลือสังคมและถ่ายทอดความรู้ อุทิศแรงกาย แรงใจ โดยการเปิดสอนการแกะรูปหนังตะลุงที่บ้านโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ได้รับเชิญเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้แก่นักเรียนทุกระดับชั้น รวมทั้งผู้สนใจที่เข้ามาเป็นศิษย์และนำความรู้ไปประกอบอาชีพหลักให้แก่ครอบครัวทั้งในพื้นที่จังหวัดสงขลา และพื้นที่ใกล้เคียง ได้สาธิตการแกะสลักรูปหนังตะลุงให้กับสมาชิกศูนย์ศิลปาชีพในงานสำคัญระดับภาคและระดับประเทศมาโดยตลอด